สารบัญบทความเรื่อง วิธีทำ Keyword Research ฉบับสมบูรณ์ ปี 2025
การเดินทางสู่ความสำเร็จบนโลกออนไลน์และการทำ SEO ให้ได้ผลนั้น สิ่งที่เป็นเหมือนเข็มทิศนำทางชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งก็คือ Keyword Research หรือ การวิจัยคีย์เวิร์ด หากปราศจากกระบวนการนี้ การสร้างเนื้อหาหรือปรับแต่งเว็บไซต์ก็อาจเปรียบเสมือนการเดินเรือโดยไม่มีแผนที่ อาจไปถึงเป้าหมายได้ แต่ก็ต้องเสียเวลาและทรัพยากรไปอย่างเปล่าประโยชน์
HAVEFUNSEO จึงได้เขียนบทความนี้คือคู่มือฉบับสมบูรณ์ที่จะพาคุณเจาะลึกทุกแง่มุมของการทำ Keyword Research ตั้งแต่ความหมาย ความสำคัญ ประเภทของคีย์เวิร์ด ขั้นตอนการทำอย่างละเอียด ไปจนถึงเครื่องมือและเคล็ดลับต่างๆ เพื่อให้คุณสามารถค้นหา “คำที่ใช่” ที่จะนำพา Traffic คุณภาพมาสู่เว็บไซต์ และเป็นรากฐานสำคัญของการทำ On Page SEO
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Keyword Research คืออะไร และทำไมถึงสำคัญสุดๆ ?
Keyword Research คือ กระบวนการค้นหา วิเคราะห์ และคัดเลือก คำ วลี หรือแม้กระทั่งคำถาม ที่ผู้คนใช้พิมพ์ลงในช่องค้นหาของ Search Engine (เช่น Google) เพื่อค้นหาสิ่งที่พวกเขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล สินค้า บริการ หรือคำตอบสำหรับปัญหาต่างๆ
ทำแล้วได้อะไรมีประโยชน์ยังไงและความสำคัญของการทำ Keyword Research
ประหยัดงบประมาณการตลาด : การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมช่วยให้แคมเปญโฆษณา (เช่น Google Ads) มีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำขึ้น
เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย : ช่วยให้คุณรู้ว่าลูกค้าหรือผู้ที่สนใจในธุรกิจ/บริการของคุณ กำลังมองหาอะไร พวกเขาใช้ภาษาแบบไหน มีปัญหาหรือความต้องการอะไรบ้าง
ดึงดูดผู้เข้าชมที่มีคุณภาพ : การเลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้ค้นหาและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ จะช่วยดึงดูดผู้เข้าชมที่มีแนวโน้มจะสนใจเนื้อหาหรือสินค้า/บริการของคุณจริงๆ ไม่ใช่แค่ Traffic ที่เข้ามาแล้วก็กดออกไป
เป็นรากฐานของกลยุทธ์ Content : Keyword Research ช่วยกำหนดทิศทางในการสร้างเนื้อหา ว่าควรจะเขียนเรื่องอะไร เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและมีโอกาสติดอันดับ SEO เป็นแนวทางสำคัญสำหรับ การสร้าง Content คุณภาพสูง
เพิ่มประสิทธิภาพให้ On Page SEO : คีย์เวิร์ดที่ได้จากการวิจัยจะถูกนำไปใช้ใน On Page SEO
ต่างๆ เช่น Title Tag, Meta Description, Header Tags, เนื้อหาบทความ เพื่อให้ Google เข้าใจและจัดอันดับเว็บของคุณได้ดีขึ้น
เข้าใจคู่แข่งมากขึ้น : สิ่งสำคัญเมื่อทำการวิจัยคีย์เวิร์ด คุณจะเห็นว่าคู่แข่งกำลังใช้คีย์เวิร์ดอะไรในการแข่งขัน และคุณจะสามารถหาช่องว่างหรือโอกาสในการแข่งขันได้อย่างไร
ประหยัดงบประมาณการตลาด : การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมช่วยให้แคมเปญโฆษณา (เช่น Google Ads) มีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำขึ้น
ศัพท์พื้นฐานที่ต้องรู้ก่อนเริ่มทำ Keyword Research
ก่อนจะลงมือทำจริง มาทำความเข้าใจคำศัพท์สำคัญๆ กันก่อน
- Search Volume (ปริมาณการค้นหา) : จำนวนครั้งโดยเฉลี่ยที่คีย์เวิร์ดนั้นๆ ถูกค้นหาใน Search Engine ต่อเดือน บ่งบอกถึงความนิยมหรือความต้องการของคีย์เวิร์ดนั้น
- Keyword Difficulty (ความยากของคีย์เวิร์ด) : ค่าประเมินว่าการแข่งขันเพื่อให้ติดอันดับในหน้าแรกของ Google สำหรับคีย์เวิร์ดนั้นๆ ยากง่ายเพียงใด (มักแสดงเป็นคะแนน 0-100) คีย์เวิร์ดที่มี Volume สูงมักจะ Difficulty สูงตามไปด้วย
- Search Intent (เจตนาการค้นหา) : เหตุผลหรือเป้าหมายเบื้องหลังที่ผู้ใช้ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดนั้นๆ การเข้าใจ Intent สำคัญมากในการเลือกคีย์เวิร์ดและสร้างเนื้อหาให้ตรงใจ
- SERP (Search Engine Results Page) : หน้าแสดงผลการค้นหาของ Search Engine การวิเคราะห์
SERP Analysis
สำหรับคีย์เวิร์ดเป้าหมาย ช่วยให้เห็นว่าคู่แข่งเป็นใคร เนื้อหาแบบไหนที่ติดอันดับ และมีฟีเจอร์พิเศษอื่นๆ (เช่น Featured Snippets, People Also Ask) หรือไม่
ประเภทของคีย์เวิร์ดที่คุณควรรู้จัก
คีย์เวิร์ดไม่ได้มีแค่แบบเดียว การเข้าใจประเภทต่างๆ จะช่วยให้คุณวางแผนได้ครอบคลุมมากขึ้น
- แบ่งตามความยาวของ KEYWORD
- Head/Short-tail Keywords : คำสั้นๆ กว้างๆ (1-2 คำ) มี Search Volume สูงมาก แต่การแข่งขันก็สูงมากเช่นกัน และมักไม่ชัดเจนเรื่อง Search Intent (เช่น “รองเท้า”, “ประกันรถยนต์”)
- Niche keyword หรือ Body Keywords : คำที่เฉพาะเจาะจงขึ้น (2-3 คำ) Volume ปานกลาง การแข่งขันเริ่มน้อยลง และ Intent เริ่มชัดเจนขึ้น (เช่น “รองเท้าวิ่ง ผู้ชาย”, “ประกันรถยนต์ ชั้น 1”)
- Long-tail Keywords : วลีหรือคำถามยาวๆ (4 คำขึ้นไป) มีความเฉพาะเจาะจงสูง Search Volume น้อย แต่การแข่งขันต่ำ และ Search Intent ชัดเจนมาก มักเป็นคีย์เวิร์ดที่เปลี่ยนเป็นลูกค้าได้ง่าย (Conversion Rate สูง) (เช่น “รองเท้าวิ่ง ผู้ชาย สำหรับคนเท้าแบน”, “ประกันรถยนต์ ชั้น 1 บริษัทไหนดี 2025“)
Longtail Keywords
คือขุมทรัพย์ที่ไม่ควรมองข้าม
- แบ่งตามเจตนาการค้นหา (Search Intent)
- Informational Keywords : ผู้ใช้ต้องการหาข้อมูล ความรู้ หรือคำตอบ (มักขึ้นต้นด้วย “วิธี”, “คืออะไร”, “เทคนิค”, “ประโยชน์”) เช่น “วิธีทำ Keyword Research”, “On-Page SEO คืออะไร”
- Navigational Keywords : ผู้ใช้ต้องการไปยังเว็บไซต์หรือหน้าเว็บที่เฉพาะเจาะจง (มักใส่ชื่อแบรนด์ หรือชื่อเว็บไซต์) เช่น “Facebook login”, “เช็คพัสดุ Kerry”
- Transactional Keywords : ผู้ใช้มีความต้องการที่จะซื้อสินค้าหรือบริการ (มักมีคำว่า “ซื้อ”, “ราคา”, “ส่วนลด”, “โปรโมชั่น”, “สั่ง”) เช่น “ซื้อ iPhone 16 Pro Max ราคา”, “ส่วนลด Ahrefs”
- Commercial Investigation Keywords : ผู้ใช้กำลังเปรียบเทียบข้อมูลเพื่อตัดสินใจซื้อในอนาคตอันใกล้ (มักมีคำว่า “รีวิว”, “เปรียบเทียบ”, “ดีไหม”, “ที่ดีที่สุด”) เช่น “Ahrefs vs SEMrush”, “ประกันรถยนต์ ชั้น 1 ที่ไหนดี”
- LSI Keywords (Latent Semantic Indexing) : คำหรือวลีที่มีความหมายเกี่ยวข้อง เชื่อมโยง หรือมักปรากฏร่วมกับคีย์เวิร์ดหลัก ช่วยให้ Search Engine เข้าใจบริบทของเนื้อหาได้ลึกซึ้งขึ้น ไม่ใช่แค่การดูว่ามีคีย์เวิร์ดหลักซ้ำๆ กี่ครั้ง (เช่น ถ้าคีย์เวิร์ดหลักคือ “Apple”, LSI อาจเป็น “iPhone”, “MacBook”, “Steve Jobs”, “Cupertino”)
ขั้นตอนการทำ Keyword Research (Step-by-Step ฉบับสมบูรณ์)
มาถึงส่วนสำคัญที่สุด คือขั้นตอนการลงมือทำจริง
ขั้นตอนที่ 1 ทำความเข้าใจธุรกิจ/เว็บไซต์ และกลุ่มเป้าหมาย (Understand Business/Audience)
- ธุรกิจของคุณคืออะไร : สินค้า/บริการหลักคืออะไร จุดเด่นคืออะไร
- กลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร : พวกเขามีลักษณะทางประชากรศาสตร์ (อายุ, เพศ, ที่อยู่) อย่างไร มีความสนใจ ปัญหา หรือความต้องการอะไร พวกเขาใช้ภาษาแบบไหนในการค้นหา
- เป้าหมายของเว็บไซต์คืออะไร : ต้องการให้ข้อมูล สร้าง Lead? ขายสินค้า การตอบคำถามเหล่านี้ให้ชัดเจน จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการหา Seed Keywords
ขั้นตอนที่ 2 ระดมสมองหา Seed Keywords (Brainstorm Seed Keywords)
- Seed Keywords คือ คำหรือวลีตั้งต้นกว้างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือหัวข้อหลักของคุณ (มักเป็น Head หรือ Body Keywords)
- วิธีการหา Seed Keywords
- คิดจากมุมมองของลูกค้า ว่าถ้าเป็นพวกเขา จะใช้คำว่าอะไรค้นหาสินค้าหรือบริการของคุณ
- ดูจากสินค้าและบริการที่คุณมี
- สอบถามจากทีมขายหรือทีมให้บริการลูกค้า
- ดูจากเว็บไซต์คู่แข่ง เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการดูหัวข้อหลักๆ ที่พวกเขาพูดถึงเป็นหลัก
- ตัวอย่าง : ถ้าคุณขายคอร์สสอนทำอาหาร Seed Keywords อาจเป็น “สอนทำอาหาร”, “เรียนทำอาหาร”, “คอร์สทำอาหาร”, “สูตรอาหาร” เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 3 ใช้เครื่องมือ Keyword Research Tools (Use Tools)
นำ Seed Keywords ที่ได้ไปใส่ในเครื่องมือ Keyword Research เพื่อขยายไอเดีย หาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม และดูข้อมูลสำคัญ (Search Volume, Keyword Difficulty)
- เครื่องมือจะช่วยหาคีย์เวิร์ดอื่นๆ ที่คนใช้ค้นหาจริง ซึ่งคุณอาจนึกไม่ถึง
- ดูไอเดียจาก “Related Keywords”, “Keyword Ideas”, “Questions”
ขั้นตอนที่ 4 วิเคราะห์และคัดเลือกคีย์เวิร์ด (Analyze & Select Keywords)
ขั้นตอนนี้สำคัญมาก ไม่ใช่ทุกคีย์เวิร์ดที่หาเจอจะเหมาะกับคุณ พิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้
- ความเกี่ยวข้อง (Relevance) : คีย์เวิร์ดนั้นเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่คุณจะสร้าง หรือสินค้าและบริการของคุณมากน้อยแค่ไหน
- ปริมาณการค้นหา (Search Volume) : มีคนค้นหาคำนี้มากพอหรือไม่ (คำที่มี Volume น้อยมากๆ อาจไม่คุ้มที่จะทำ แต่ถ้า Intent ชัดเจนและตรงกลุ่มเป้าหมายมากๆ ก็อาจจะคุ้มค่า)
- ความยาก (Keyword Difficulty) : คุณมีศักยภาพพอที่จะแข่งขันกับเว็บไซต์ที่ติดอันดับอยู่แล้วสำหรับคำนั้นๆ หรือไม่ เว็บไซต์ใหม่ๆ อาจต้องเริ่มจากคีย์เวิร์ดที่ Difficulty ไม่สูงมาก (เช่น Long-tail Keywords)
- เจตนาการค้นหา (Search Intent) : คีย์เวิร์ดนั้นตรงกับเป้าหมายของหน้าที่คุณจะสร้างหรือไม่ (เช่น ถ้าจะสร้างหน้า Blog ให้ข้อมูล ก็ควรเลือก Informational Keywords ไม่ใช่ Transactional Keywords)
- วิเคราะห์คู่แข่ง (Competitor Analysis) : ดูว่าใครติดอันดับสำหรับคีย์เวิร์ดนั้นๆ เนื้อหาของเขาเป็นอย่างไร เว็บไซต์เขามี Authority แค่ไหน คุณสามารถสร้างเนื้อหาที่ดีกว่า หรือแตกต่างได้หรือไม่? การดูข้อมูลจาก
SERP
เป็นประจำจะช่วยได้มาก
ขั้นตอนที่ 5 จัดกลุ่มและวางแผนการใช้คีย์เวิร์ด (Group & Map Keywords)
เมื่อได้รายการคีย์เวิร์ดที่คัดเลือกแล้ว
- จัดกลุ่ม (Grouping) : จัดคีย์เวิร์ดที่มีความหมายหรือเจตนาใกล้เคียงกันไว้ด้วยกัน กลุ่มเหล่านี้มักจะกลายเป็นหัวข้อหลักของ Content Pillar หรือ 1 หน้าเว็บ/บทความ
- วางแผน (Mapping) : กำหนดว่าคีย์เวิร์ดหลัก (Primary Keyword) และคีย์เวิร์ดรอง (Secondary/LSI Keywords) ของแต่ละกลุ่ม จะถูกนำไปใช้สร้างเนื้อหาในหน้าใดบ้าง เชื่อมโยงกับโครงสร้างเว็บไซต์ และ
Content Marketing
ของคุณ
เครื่องมือยอดนิยมสำหรับทำ Keyword Research ปี 2025
มีเครื่องมือมากมายทั้งแบบฟรีและเสียเงิน นี่คือตัวอย่างที่นิยมในปัจจุบัน
- เครื่องมือฟรีทำ Keyword Research
- Google Keyword Planner : เครื่องมือคลาสสิกจาก Google เหมาะสำหรับหาไอเดียและดู Volume คร่าวๆ (ต้องมีบัญชี Google Ads)
- Google Trends : ดูแนวโน้มความนิยมของคีย์เวิร์ดตามช่วงเวลาและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์
- Google Search Suggest/Related Searches : ไอเดียคีย์เวิร์ดที่ปรากฏเมื่อคุณพิมพ์ในช่องค้นหา Google และส่วน “การค้นหาที่เกี่ยวข้อง” ด้านล่าง SERP
- AnswerThePublic : แสดงคีย์เวิร์ดในรูปแบบคำถาม, บุพบท, การเปรียบเทียบ (มีโควต้าใช้ฟรี)
- เครื่องมือเสียเงิน ทำ Keyword Research
- Ahrefs : หนึ่งในเครื่องมือ SEO ที่ทรงพลังที่สุด มีฐานข้อมูลคีย์เวิร์ดขนาดใหญ่ วิเคราะห์คู่แข่งได้ดีเยี่ยม
- SEMrush : อีกหนึ่งเครื่องมือยอดนิยม ครบเครื่องเรื่อง SEO, SEM, Content Marketing
- Moz Keyword Explorer : เน้นการวิเคราะห์ Keyword Difficulty และให้คะแนน Priority
- Ubersuggest : เครื่องมือที่พัฒนาโดย Neil Patel มีเวอร์ชันฟรีที่จำกัด และเวอร์ชันเสียเงินที่ราคาเข้าถึงง่ายกว่าบางตัว
Keyword Research เกี่ยวข้องกับ On Page SEO อย่างไร ?
หากสงสัยว่าจะนำคีย์เวิร์ดที่เตรียมไว้ไปใช้กับหน้า Page หรือ Post อย่างไรนี่คือจุดที่เชื่อมโยงกันโดยตรง คีย์เวิร์ดที่คุณทุ่มเทวิจัยมา จะกลายเป็นวัตถุดิบสำคัญในการปรับแต่ง องค์ประกอบ On-Page SEO
บนหน้าเว็บไซต์ของคุณ ได้แก่
- Title Tag : ควรใส่คีย์เวิร์ดหลักไว้ช่วงต้นๆ
- Meta Description : ใส่คีย์เวิร์ดหลักหรือรอง เพื่อเพิ่มความเกี่ยวข้องและดึงดูดการคลิก
- Header Tags (H1, H2, H3,…) : ใช้คีย์เวิร์ดหลักใน H1 และคีย์เวิร์ดรอง/LSI ใน H2, H3 เพื่อจัดโครงสร้างและบอก Google ถึงหัวข้อย่อย
- เนื้อหาบทความ (Body Content) : แทรกคีย์เวิร์ดหลักและรองอย่างเป็นธรรมชาติในเนื้อหา โดยเฉพาะช่วงต้น กลาง และท้าย รวมถึงใช้ LSI Keywords เพื่อเพิ่มความลึกและความเกี่ยวข้องทางความหมาย นี่เป็นส่วนสำคัญของ
การสร้าง Content คุณภาพสูง
- URL : ทำให้ URL สั้น กระชับ สื่อความหมาย และมีคีย์เวิร์ดหลักอยู่ด้วย
- Image Alt Text : ใส่คำอธิบายรูปภาพพร้อมคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
เคล็ดลับเพิ่มเติมเพื่อการทำ Keyword Research ที่มีประสิทธิภาพ
- คิดแบบ Long-term : อย่าเน้นแค่คีย์เวิร์ดที่มี Volume สูงสุดในวันนี้ มองหาโอกาสจาก Long-tail และคีย์เวิร์ดที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายจริงๆ
- อย่าตัดสินจาก Volume อย่างเดียว : คีย์เวิร์ด Volume น้อย แต่ Intent ชัดเจน และตรงกับสินค้า/บริการเฉพาะทางของคุณ อาจมีค่ามากกว่าคีย์เวิร์ด Volume สูงแต่กว้างเกินไป
- วิเคราะห์ SERP เสมอ : ก่อนตัดสินใจเลือกคีย์เวิร์ด ลองนำไปค้นหาใน Google ดูว่าผลลัพธ์ที่ติดอันดับเป็นแบบไหน เนื้อหาเกี่ยวกับอะไร รูปแบบไหน (บทความ, วิดีโอ, สินค้า) เพื่อให้คุณสร้างเนื้อหาที่แข่งขันได้
- อย่าทำ Keyword Stuffing : การใส่คีย์เวิร์ดซ้ำๆ มากเกินไปในเนื้อหา ไม่ได้ช่วยให้ติดอันดับดีขึ้น แถมยังทำให้อ่านไม่รู้เรื่องและอาจถูกมองว่าเป็นสแปม เน้นการใช้คีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติและใช้ LSI Keywords ช่วยเสริมบริบท
- อัปเดตและทบทวน : Keyword Research ไม่ใช่การทำครั้งเดียวจบ แนวโน้มการค้นหาและพฤติกรรมผู้ใช้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ควรกลับมาทบทวนและหาคีย์เวิร์ดใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ (เช่น ทุก 6-12 เดือน)
สรุปบทความ วิธีทำ Keyword Research
Keyword Research คือกระบวนการที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์ (ข้อมูลจากเครื่องมือ) และศิลป์ (ความเข้าใจในธุรกิจและลูกค้า) เป็นรากฐานสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามในการทำ SEO และการตลาดออนไลน์ การลงทุนเวลาในการวิจัยคีย์เวิร์ดอย่างละเอียดและถูกต้อง จะช่วยให้คุณสร้างสรรค์เนื้อหาที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย ดึงดูด Traffic คุณภาพ ปรับปรุง On Page SEO
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณประสบความสำเร็จและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
หากไม่มีการทำ Keyword Research ที่ดี การปรับแต่ง
On Page SEO
ก็อาจจะไร้ทิศทาง หรือเลือกใช้คำที่ไม่ตรงกับที่กลุ่มเป้าหมายค้นหา ทำให้เสียโอกาสในการติดอันดับไปอย่างน่าเสียดาย